Friday, November 30, 2018

สังคมศึกษา

เศรษฐศาสตร์  
เป็นวิชาทางสังคมศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการผลิต การกระจาย การบริโภคสินค้และการให้บริการ ตามคำจำกัดความของนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง เรย์มอนด์ บารร์ แล้ว "เศรษฐศาสตร์คือศาสตร์แห่งการจัดการทรัพยากรอันมีจำกัด เศรษฐศาสตร์พิจารณาถึงรูปแบบที่พฤติกรรมมนุษย์ได้เลือกในการบริหารทรัพยากรเหล่านี้ อีกทั้งวิเคราะห์และอธิบายวิถีที่บุคคลหรือบริษัททำการจัดสรรทรัพยากรอันจำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการมากมายและไม่จำกัด"
คำว่า เศรษฐศาสตร์ มาจากคำภาษากรีก oikonomia ่ซึ่งแปลว่าการจัดการครัวเรือน  แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันแยกออกมาจากขอบเขตที่กว้างของวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองเมื่อปลายศตวรรษที่ 19
การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ถูกประยุกต์ใช้ครอบคลุมทั้งสังคมในด้าน ธุรกิจการเงิน และรัฐบาล แม้แต่ทั้งด้านอาชญากรรมการศึกษาครอบครัวสุขภาพกฎหมายการเมืองศาสนา, สถาบันสังคม, สงคราม และวิทยาศาสตร์

เศรษฐศาสตร์จะให้ความสนใจกับตัวแปรที่สามารถวัดค่าได้เท่านั้น โดยสาขาของวิชาเศรษฐศาสตร์จะถูกจำแนกออกตามเนื้อหาเป็นสองสาขาใหญ่ ๆ คือ
วิชาเศรษฐศาสตร์จัดเป็นวิชาเชิงปทัสฐานเมื่อเศรษฐศาสตร์ได้ถูกใช้เพื่อเลือกทางเลือกอันหนึ่งอันใด หรือเมื่อมีการตัดสินคุณค่าบางสิ่งบางอย่างแบบอัตวิสัย ในทางตรงข้ามเราจะเรียกเศรษฐศาสตร์ว่าเป็นวิชาเชิงบรรทัดฐาน เมื่อเศรษฐศาสตร์นั้นได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายและอธิบายถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเมื่อมีการเลือกเกิดขึ้น โดยพิจารณาจากสมมติฐาน และชุดของข้อมูลสังเกตการณ์ ทางเลือกใดก็ตามที่เกิดจากการใช้สมมติฐานสร้างเป็นแบบจำลอง หรือเกิดจากชุดข้อมูลสังเกตการณ์ที่สัมพันธ์กันนั้น ก็เป็นข้อมูลเชิงบรรทัดฐานด้วยเช่นเดียวกัน
  1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซึ่งสนใจพฤติกรรมขององค์ประกอบพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจซึ่งรวมถึง ตลาดแต่ละตลาดและตัวแทนทางเศรษฐกิจ
  2. เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกิจในภาพรวม ตัวอย่างเช่น อุปทานมวลรวมและอุปสงค์มวลรวม การว่างงาน เงินเฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกออกตามการวิเคราะห์ปัญหาได้แก่
  1. เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง 
  2. เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามที่ควรจะเป็น 
สำหรับประเด็นหลัก ๆ ที่เศรษฐศาสตร์ให้ความสนใจจะอยู่ที่การจัดสรรทรัพยากร การผลิต การกระจายสินค้า การค้า และการแข่งขัน โดยหลักการแล้วคำอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จะถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกภายใต้ข้อจำกัดด้านความขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีการกำหนดมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ให้กับทางเลือกนั้น ๆ นั่นเอง
ในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยธุรกิจของประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะนิยมสอนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์แบบสำนักคลาสสิกใหม่   ทั้งนี้ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิเคราะห์ถึง "ความเป็นเหตุเป็นผล-ความเป็นปัจเจกชน-ดุลยภาพ
สุโขทัย
สุโขทัย เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร ตาก และลำปาง
 จังหวัดสุโขทัยเป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อ 700 ปีที่แล้ว คำว่า "สุโขทัย" มาจากสองคำ คือ "สุข+อุทัย" หมายความว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข" รอยอดีตแห่งความรุ่งเรืองเห็นได้จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัยซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวไทยและต่างประเทศ
ตามการแบ่งจังหวัดเป็นภาคโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติและราชบัณฑิตยสภา จังหวัดสุโขทัยตั้งอยู่ในภาคกลาง บริเวณตอนบนของภาค หากแบ่งเขตตามการพยากรณ์อากาศและเศรษฐกิจ สังคม จะจัดอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ห่างจากกรุงเทพมหานครตามระยะทางหลวงแผ่นดินประมาณ 440 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้
พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสุโขทัยจะเป็นที่ราบลุ่ม ทางตอนเหนือและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นที่ราบสูง มีเขาหลวงเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุด วัดจากระดับน้ำทะเลมีความสูงประมาณ 1,200 เมตร โดยมีแนวภูเขายาวเป็นพืดทางด้านทิศตะวันตก ส่วนพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดจะเป็นที่ราบ มีแม่น้ำยมไหลผ่านจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ผ่านอำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ ช่วงที่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทัยยาวประมาณ 170 กิโลเมตร

คณิตศาสตร์

การสร้างมุมและการแบ่งครึ่งมุม

ชนิดของมุม
         "  มุม  "   เกิดจากรังสีสองเส้นที่มีจุดปลายเป็นจุดเดียวกัน




เทคโนโลยี


    วงจรไฟฟ้า

    วงจรไฟฟ้าคืออะไร
                         ในวงจรไฟฟ้าทั่ว ๆ ไปจะมีสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง 3 อย่าง คือ กระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะไหลไปได้หรือเคลื่อนที่ไปได้จะต้องมีตัวนำหรือสายไฟฟ้า และจะต้องมีกำลังดันหรือแรงเคลื่อนไฟฟ้า(V) ดันให้กระแสไฟฟ้าไหลไป จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ตัวนำ และความต้านทานประกอบกัน วงจรไฟฟ้า คือ ทางเดินของไฟฟ้าเป็นวง ไฟฟ้าจะไหลไปตามตัวนำหรือสายไฟจนกระทั่งไหลกลับตามสายมายัง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นวงครบรอบ คือ ออกจากเครื่องกำเนิดแล้วกลับมายังเครื่องกำเนิดอีกครั้งหนึ่ง จนครบ 1 เที่ยว เรียกว่า 1 วงจร หรือ 1 Cycle
    วงจรไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
    1. วงจรปิด (Closed Circuit) จากรูปจะเห็น กระแสไฟฟ้าไหลออกจากแหล่งกำเนิด ผ่านไปตามสายไฟ แล้วผ่าน สวิทช์ไฟซี่งแตะกันอยู่ (ภาษาพูดว่าเปิดไฟ) แล้วกระแสไฟฟ้าไหลต่อไปผ่านดวงไฟ แล้วไหลกลับมาที่แหล่งกำเนิดอีกจะ เห็นได้ว่ากระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านได้ครบวงจร หลอดไฟจึงติด 
    2. วงจรเปิด (Open Circuit) ถ้าดูตามรูป วงจรเปิด ไฟจะไม่ติดเพราะว่า ไฟออกจากแหล่งกำเนิดก็จะไหลไปตาม สายพอไปถึงสวิทช์ซึ่งเปิดห่างออกจากกัน (ภาษาพูดว่าปิดสวิทช์) ไฟฟ้าก็จะผ่านไปไม่ได้ กระแสไฟฟ้าไม่สามารถจะไหล ผ่านให้ครบวงจรได้
                         
                          วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วนคือ
    • แหล่งกำเนิดไฟฟ้า หมายถึง แหล่งจ่ายไฟฟ้าไปยังวงจรไฟฟ้า เช่น แบบเตอรี่
    • ตัวนำไฟฟ้า หมายถึง สายไฟฟ้าหรือสื่อที่จะเป็นตัวนำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งต่อระหว่างแหล่งกำเนิดกับเครื่องใช้ไฟฟ้า
    • เครื่องใช้ไฟฟ้า หมายถึง เครื่องใช้ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานรูปอื่น ซี่งจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โหลด
    • สะพานไฟ (Cut out) หรือสวิทช์ (Switch) เป็นตัวตัดและต่อกระแสไฟฟ้า
    เฟือง
    เฟือง (อังกฤษgear) เป็นชิ้นส่วนเครื่องกลที่มีรูปร่างเป็นจานแบนรูปวงกลม ตรงขอบมีลักษณะเป็นแฉก (เรียกว่าฟันเฟือง) ซึ่งสามารถนำไปประกบกับเฟืองอีกตัวหนึ่ง ทำให้เมื่อเฟืองตัวแรกหมุน เฟืองตัวที่สองจะหมุนในทิศทางตรงกันข้าม เกิดเป็นระบบส่งกำลังขึ้น โดยความเร็วรอบของเฟืองที่สองจะขึ้นกับอัตราส่วนจำนวนฟันเฟืองของตัวแรกเทียบกับตัวที่สอง ซึ่งอัตราส่วนนี้สามารถปรับให้เกิดเป็นความได้เปรียบเชิงกลได้ จึงถือเป็นเครื่องกลอย่างง่ายชนิดหนึ่ง
    ด้วยคุณลักษณะนี้ เฟือง สามารถนำมาใช้ส่งผ่านแรงหมุน ปรับความเร็ว, แรงหมุน และทิศทางการหมุนในเครื่องจักรได้ โดยระบบเฟืองหรือระบบส่งกำลังนี้ มีความสามารถคล้ายคลึงกับระบบสายพาน แต่จะดีกว่าตรงที่ระบบเฟืองจะไม่สูญเสียพลังงานไปกับการยืดหดและการลื่นไถลของสายพาน
    เพืองสองตัวขบกัน และกำลังหมุน (หมายเหตุ: เฟืองเล็กหมุนเร็วกว่าเฟืองใหญ่ แต่จะมีแรงหมุนน้อยกว่า, และสังเกตว่าบริเวณขอบของทั้งสองเฟืองจะมีความเร็วเชิงเส้นเท่ากัน)

    เฟืองเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งกำลังในระยะสั้น เป็นอุปกรณ์ที่มีความแข็งแรงสูงและมีความปลอดภัย ชนิดของเฟืองมีดังนี้
    เฟืองตรง (Spur Gears)
    1. เฟืองตรง (Spur Gears)
    เป็นเฟืองที่มีฟันขนานกับแกนหมุนและใช้ในการส่งกำลังการหมุนจากเพลาหนึ่งไปยังอีกเพลาหนึ่ง
    เฟืองสะพาน (Rack Gears)
    2. เฟืองสะพาน (Rack Gears)
    เป็นเฟืองตรงชนิดหนึ่ง มีลักษณ่ะรูปร่างยาวเป็นเส้นตรงเหมือนสะพาน ฟันเฟืองทำมุมกับลำตัว 90 องศา โดยประมาณ และต้องใช้คู่กับเฟืองตรง
    เฟืองวงแหวน (Internal Gears)
    3. เฟืองวงแหวน (Internal Gears)
    เป็นเฟืองตรงชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะกลมเช่นเดียวกับเฟืองตรง แต่ฟันเฟืองจะอยู่ด้านบนของวงกลม และต้องใช้คู่กับเฟืองตรงที่มีขนาดเล็กกว่าขบอยู่ภายในเฟืองวงแหวน
    เฟืองเฉียง (Helical Gears)
    4. เฟืองเฉียง (Helical Gears)
    เป็นเฟืองส่งกำลังที่มีฟันเฉียงทำมุมกับแกนหมุน มีลักษณะคล้ายเฟืองฟันตรง แต่มีเสียงที่เกิดจากการทำงานเบากว่าเฟืองฟันตรง นอกจากนั้นเฟืองเฉียงยังใช้ในการส่งกำลังให้กับเพลาที่ไม่ขนานกันได้อีกด้วย
    เฟืองเฉียงก้างปลา (Herringbone Gears)
    5. เฟืองเฉียงก้างปลา (Herringbone Gears)
    เป็นเฟืองที่มีลักษณะคล้ายกับเฟืองตรงแต่ฟันของเฟืองจะเอียงสลับกันเป็นฟันปลา
    เฟืองดอกจอก (Bevel Gears)
    6. เฟืองดอกจอก (Bevel Gears)
    เป็นเฟืองที่มีการตัดฟันเฟือง ใช้สำหรับส่งกำลังจากเพลาหนึ่งไปยังอีกเพลาหนึ่งที่ตัดกัน มุมระหว่างเพลาทั้งสองเป็นมุมระหว่างเส้นศูนย์กลางร่วมที่ตัดกัน ของฟันเฟือง มุมระหว่างเพลาประมาณ 90° แต่ในหลาย ๆ การใช้งานของเฟืองชนิดนี้ อาจจะต้องการมุมระหว่างเพลาที่มีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่ามุม 90° ก็ได้
    เฟืองตัวหนอน (Worm Gears)
    7. เฟืองตัวหนอน (Worm Gears)
    ประกอบด้วยเกลียวตัวหนอน (Worm) และเฟืองตัวหนอน (Worm gear) ประกอบกันเป็นชุด ใช้ส่งกำลังที่แกนเพลาที่ฉากกัน
    เฟืองเกลียวสกรู (Spiral Gears)
    8. เฟืองเกลียวสกรู (Spiral Gears)
    เป็นเฟืองเกลียวที่ใช้ส่งกำลังระหว่างเพลาที่ทำมุม 90 องศา
    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ engrenagem desenho

Wednesday, November 28, 2018

การงาน

ตุ๊กตาถุงเท้าการบูร 





วัสดุ-อุปกรณ์
1.ถุงเท้าขนาดเล็ก หรือถุงเท้าเด็ก (สีอะไรก็ได้ แต่ที่แนะนำคือมองดูสวย ดังนั้นควรจะเป็นสีสดหรือออกฉูดฉาด:นก แนะนำ)
2.การบูร
3.ใยสังเคราะห์ (ใช้เกรดต่ำเช่น A ตัวเดียวก็ได้:นก แนะนำ)
4.เชือกผ้าเส้นใหญ่ เส้นเล็ก
5.เข็ม ด้าย หนังยาง กาวลาเท็กซ์
6.ตาตุ๊กตา กิ๊บติดผม
***ทั้งหมดหาซื้อได้ที่สำเพ็ง ที่เดียวครบ***


วิธีการทำ
1.ตัดถุงเท้าตรงส่วนส้นเท้าออก (ตามรูป) จะได้ถุงเท้าเป็น 2 ส่วน (พยายามให้รอยตัดเป็นเส้นตั้งฉาก)
2.นำก้อนการบูรหุ้มด้วยใยสังเคราะห์ แล้วใส่เข้าไปในถุงเท้าส่วนที่ 1 จัดรูปทรงให้เป็นก้อนกลม แล้วใช้หนังยางรัด และนำส่วนที่ 2 มาพับส่วนปลายเข้าด้านในสวมรอบในส่วนที่ 1 (ส่วนที่ 2 มียางยืดของถุงเท้าอยู่ทำให้ครอบแล้วแน่นหนาไม่เลื่อนหลุด)
3.นำเชือกผ้าขนาดยวพอประมาณ มามัดปมทั้งสองข้าง แล้วมัดเชือกที่คอตุ๊กตาปิดหนังยางให้มิด (ตามรูป) และนำอีกเส้นมัดปม 2 ข้าง มาทำเป็นขาตุ๊กตาเย็บด้ายติดกับตัวเสื้อตุ๊กตา
4.ตกแต่งหน้าตุ๊กตา โดยใช้กาวลาเท็กซ์ติดลูกตา นำกิ๊บมาติดที่หมวก ส่วนปากใช้เชือกผ้าเส้นเล็กหรือใหมพรมชุบกาวติดลงไป
5.ทำเชือกแขวนเย็บติดที่หัวตุ๊กตา (อย่าทำที่หมวกเพราะอาจหลุดจากตัวตุ๊กตาเวลาแขวน)


Tuesday, November 27, 2018

วิทยาศาตร์


เซลล์ คือ หน่วยย่อยพื้นฐานที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต
  • เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) ...
  • นิวเคลียส (Nucleus) ...
  • ไซโทพลาซึม (Cytoplasm) ...
  • ร่างแหเอนโดพลาซึม (Endoplasmic Reticulum, ER) ...
  • ไรโบโซม (Ribosome) ...
  • เซนทริโอล (Centrioles) ...
  • ไลโซโซม (Lysosome) ...
  • ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria)

    ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์[แก้]

    1. ฐาน (Base) เป็นส่วนที่ใช้วางบนโต๊ะ ทำหน้าที่รับน้ำหนักทั้งหมดของกล้องจุลทรรศน์ มีรูปร่างสี่เหลี่ยม หรือวงกลม ที่ฐานจะมีปุ่มสำหรับปิดเปิดไฟฟ้า
    2. แขน (Arm) เป็นส่วนเชื่อมตัวลำกล้องกับฐาน ใช้เป็นที่จับเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์
    3. ลำกล้อง (Body tube) เป็นส่วนที่ปลายด้านบนมีเลนส์ตา ส่วนปลายด้านล่างติดกับเลนส์วัตถุ ซึ่งติดกับแผ่นหมุนได้ เพื่อเปลี่ยนเลนส์ขนาดต่าง ๆ ติดอยู่กับจานหมุนที่เรียกว่า Revolving Nosepiece
    4. ปุ่มปรับภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพโดยเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ (เลื่อนลำกล้องหรือแท่นวางวัตถุขึ้นลง) เพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจน
    5. ปุ่มปรับภาพละเอียด (Fine adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพ ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น
    6. เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective lens) เป็นเลนส์ที่อยู่ใกล้กับแผ่นสไลด์ หรือวัตถุ ปกติติดกับแป้นวงกลมซึ่งมีประมาณ 3-4 อัน แต่ละอันมีกำลังบอกเอาไว้ เช่น x3.2, x4, x10, x40 และ x100 เป็นต้น ภาพที่เกิดจากเลนส์ใกล้วัตถุเป็นภาพจริงหัวกลับ
    7. เลนส์ใกล้ตา (Eye piece) เป็นเลนส์ที่อยู่บนสุดของลำกล้อง โดยทั่วไปมีกำลังขยาย 10x หรือ 15x ทำหน้าที่ขยายภาพที่ได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดภาพที่ตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดยภาพที่ได้เป็นภาพเสมือนหัวกลับ
    8. เลนส์รวมแสง (Condenser) ทำหน้าที่รวมแสงให้เข้มขึ้นเพื่อส่งไปยังวัตถุที่ต้องการศึกษา
    9. กระจกเงา (Mirror) ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากธรรมชาติหรือแสงจากหลอดไฟภายในห้องให้ส่องผ่านวัตถุโดยทั่วไปกระจกเงามี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นกระจกเงาเว้า อีกด้านเป็นกระจกเงาระนาบ สำหรับกล้องรุ่นใหม่จะใช้หลอดไฟเป็นแหล่งกำเนิดแสง ซึ่งสะดวกและชัดเจนกว่า
    10. ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใต้เลนส์รวมแสงทำหน้าที่ปรับปริมาณแสงให้เข้าสู่เลนส์ในปริมาณที่ต้องการ
    11. แท่นวางวัตถุ (Speciment Stage) เป็นแท่นใช้วางแผ่นสไลด์ที่ต้องการศึกษา
    12. ที่หนีบสไลด์ (Stage Clip) ใช้หนีบสไลด์ให้ติดอยู่กับแท่นวางวัตถุ ในกล้องรุ่นใหม่จะมี Mechanical stage แทนเพื่อควบคุมการเลื่อนสไลด์ให้สะดวกยิ่งขึ้น
    13. จานหมุน (Revolving nosepiece)  ใช้หมุนเมื่อต้องการเปลี่ยนกำลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ
    14. สสาร
    15. สสารมี๓สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว แก๊ส
      ของแข็ง (Solid)
      คือ สถานะของสสารที่มีอนุภาคอยู่ชิดกัน มีช่องว่างระหว่างอนุภาคน้อย อนุภาค ของสสารจึงเคลื่อนไหวได้ยาก ดังนั้นสสารจึงมีรูปร่างคงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ยาก สสารที่มีสถานะเป็นของแข็ง เช่น หิน นั้าแข็ง
      ของเหลว (Liquid)
      คือ สถานะของสสารที่มีอนุภาคอยู่ห่างกันมากกว่าของแข็ง จึงอยู่กันอย่างหลวมๆ อนุภาคของสสารจึงเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ดังนั้นสสารจึงมีรูปร่างไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ สสารที่มีสถานะเป็นของเหลว เช่น น้ำ ฝน เป็นต้น
      ก๊าซ (Gas)
      คือ สถานะของสสารที่มีอนุภาคอยู่ห่างกัน จึงมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกันน้อยมาก ทำ ให้อนุภาคเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ ดังนั้นสสารจึงมีรูปร่างไม่แน่นอน เมื่อสสารอยู่ในภาชนะใดอนุภาคของสสารจะฟุ้งกระจายเต็มภาชนะสสารที่มีสถานะเป็นก๊าซ เช่น อากาศ ก๊าซหุงต้ม เป็นต้น
      พลาสมา(Plasma)
      คือ สถานะของสารที่มีอนุภาคแตกกระจาย จึงเกิดการกระจายไปมาของอนุภาค ทำให้อนุภาคเคลื่อนไหวแบบรวดเร็ว ดังนั้นสสารจึงมีรูปร่างที่ไม่เน่นอน สสารนี้จะสลายไปอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น

      การเปลี่ยนแปลงสถานะ[แก้]

      การเปลี่ยนแปลงของสารจากสถานะของแข็งเป็นของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว อุณหภูมิขณะนั้นจะคงที่เรียนกว่า จุดหลอมเหลว
      การเปลี่ยนสถานนะของสารจากของเหลวกลายเป็นไอ เรียกว่า การเดือด อุณหภูมิขณะนั้นจะคงที่เรียกว่า จุดเดือด
      การเปลี่ยนแปลงสถานะในแต่ละรูปแบบ มีชื่อเรียกต่างกันตามลักษณะการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
      การระเหย
      คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นก๊าซ โดยมักเกิดเมื่อของเหลวนั้นๆได้รับพลังงานหรือความร้อน ได้แก่ น้ำ เปลี่ยนสถานะเป็น ไอน้ำ
      การระเหิด
      คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของแข็ง กลายเป็นก๊าซ โดยไม่ผ่านสถานะการเป็นของเหลว ได้แก่ น้ำแข็งแห้ง เปลี่ยนสถานะเป็น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด
      การควบแน่น
      คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากก๊าซ กลายเป็นของเหลว โดยมักเกิดเมื่อก๊าซนั้นๆ สูญเสียความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ ไอน้ำ เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำ
      การแข็งตัว
      คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นของแข็ง โดยมักเกิดเมื่อของเหลวนั้นๆ สูญเสียความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ น้ำ เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำแข็ง โดยของแข็งนั้น สามารถเปลี่ยนสถานะกลับเป็นของเหลวได้ โดยการได้รับพลังงานหรือความร้อน
      การตกผลึก
      คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นของแข็ง โดยมักเกิดเมื่อของเหลวนั้นๆ สูญเสียความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ น้ำ เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำแข็ง แต่โดยทั่วไปแล้ว ตกผลึกนั้นนิยมใช้ กับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างทางทางเคมี เสียมากกว่า เพราะโดยทั่วไปใช้กับสารประกอบหรือวัตถุ ที่ไม่สามารถหลอมเหลว หรือ ละลาย กลับเป็นของเหลวได้อีก
      การหลอมเหลว หรือการละลาย
      คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของแข็ง กลายเป็นของเหลว โดยมักเกิดเมื่อของแข็งนั้นๆ ได้รับความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ น้ำแข็ง เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำ
    16. การสืบพันธุ์แบบอาศัยไม่อาศัยเพศของพืชดอกและการขยายพันธุ์พืช

      พืชนอกจากขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดซึ่งเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแล้วยังสามารถสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (asexual   reproduction)  เช่น
                      1.  การขยายพันธุ์ด้วยลำต้น  เช่นพืชที่มีลำต้นใต้ดินทำหน้าที่สะสมอาหาร  ได้แก่   ขิง  ข่า  ขมิ้น  แห้ว  เผือก  หอม  กระเทียม  มันฝรั่ง    ว่านสี่ทิศ
                      2.  การขยายพันธุ์ด้วยกิ่ง โดยการปักชำ   ตอน  ติดตา  ทาบกิ่ง  หรือเสียบยอด  เช่น ชบา  พู่ระหง  มะละ  โกสน  กุหลาบ  พุทรา  มะม่วง  ดาวเรือง  ฤาษีผสม
                      3.  การขยายพันธุ์ด้วยราก  มักเป็นรากชนิดที่สะสมอาหาร เช่น  มันเทศ 
                      4.  การขยายพันธุ์ด้วยใบ   เช่นใบคว่ำตายหงายเป็น  ใบต้นทองสามย่าน ใบของต้นโคมญี่ปุ่น
      วิธีการขยายพันธุ์พืชแบบไม่อาศัยเพศ
                      1. การปักชำหรือการตัดชำ (cutting  หรือ  cottage) กิ่งหรือรากที่ใช้ต้องไม่อ่อนหรือแก่เกินไปใช้มีดหรือกรรไกรตัดแต่งคมๆ  ตัดกิ่งออกเป็นท่อนๆ  ยาวประมาณ  10 -20  ซม.  โดยตัดให้เป็นปากฉลามใต้ตา  เอาใบออกหมด  แล้วนำไปชำในกระบะชำ  โดยปักให้เอียง  45  70 องศา  และลึก 1 ใน 3 ของกิ่ง นำกระบะชำไปวางในเรือนเพาะชำรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ  เมื่อกิ่งชำหรือรากชำมีรากพอสมควรก็แยกไปปลูกต่อไป  ในการชำนั้นถ้าใช้ฮอร์โมน เช่น เซราดิกซ์ (seradix)  เร่งก็จะทำให้งอกรากได้เร็วขึ้น
                      การยายพันธุ์โดยการชำนี้ใช้ได้ทั้งไม้ผลและไม้ดอกไม้ประดับ ที่นิยมกัน คือ ส้ม  ชมพู่  กุหลาบ   เฟืองฟ้า โกสน  ชบา  มะลิ  อ้อย  สาเก 
                      2.  การตอน (marcotting) การตอนไม้ผลจะให้ผลผลิตที่มีคุณภาพเหมือนต้นแม่ทุกประการ  เพราะมียีนชุดเดียวกัน ไม่มีการกลายพันธุ์  ให้ผลเร็วกว่าการปลูกด้วยเมล็ด  แต่มีข้อเสียตรงที่กิ่งตอนไม่มีรากแก้ว ถ้าลมแรงหรือดินอ่อน  อาจล้มโค่นง่าย  ทำให้ต้นไม้มีอายุสั้นกว่าการปลูกด้วยเมล็ด
                      3.  การติดตา (budding)  ประกอบด้วย
                      ต้นตอ  ต้นตอควรเป็นต้นที่มีความแข็งแรงสมบูรณ์ต้านทานสภาพดินฟ้า  อากาศ และโรคได้ดี   ไม่เป็นที่แก่หรืออ่อนจนเกินไป  ต้องลอกเปลือกออกง่ายเมื่อผ่าเปลือกต้นตอ
                      ต้นพันธุ์  ต้นพันธุ์ดีที่มีตาสมบูรณ์  ตาดีและสมบูรณ์หาได้มากในฤดูฝน ตาดีต้องมาจากกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไปและตาต้องแตกใหม่ๆ  ใช้มีดคมๆ ปาดตาให้บางๆ ให้เนื้อไม้ติดไปกับตาน้อยที่สุดและเอาเนื้อไม้ที่ติดมาด้วยทิ้งเสียก่อน
      ภาพที่  1  ขั้นตอนการติดตา
      4.การทาบกิ่ง  (layering  หรือ  layerage) ประกอบด้วย
      ต้นตอ  ของการทาบกิ่งมีลักษณะทั่วไปคล้ายต้นตอแบบติดตา
      กิ่งพันธุ์  ควรมีขนาดเท่าๆ กับต้นตอ กิ่งพันธุ์นี้ต้องเป็นพันธุ์ดีให้ผลดกและขนาดสม่ำเสมอ  รสดี
      เมื่อเลือกกิ่งพันธุ์และต้นตอได้แล้ว  นำต้นตอและกิ่งพันธุ์มาเทียบกัน  ปาดต้นตอและกิ่งพันธุ์ให้เป็นแผลขนาดพอเหมาะและเท่าๆ กัน นำแผลทั้งสองมาทาบกันให้สนิทพอดี  ใช้เชือกหรือพลาสติกมัดติดกันให้แน่นตลอดแผลที่ปาดเมื่อทาบติดแล้ว  ใช้มีดคมๆ หรือกรรไกรตัดยอดต้นตอทิ้งได้เลย  ถ้าหากชำนาญแล้วอาจตัดยอดต้นตอทิ้งตอนแรกเลยก็ได้  การที่ไม่ตัดเลยก็เพื่อไม่ให้เสียต้นตอในกรณีทาบไม่ติด
      5.  การต่อกิ่งหรือเสียบกิ่ง  (grafting) ซึ่งอาจต่อแบบปะ  ต่อแบบปากฉลาม  ต่อแบบเสียบข้างและต่อแบบลิ่ม  ในการต่อกิ่งหรือเสียบกิ่ง ประกอบด้วย
      ต้นตอ  ของการต่อกิ่ง มีลักษณะเช่นเดียวกับต้นตอการติดตา
      กิ่งต่อ  ควรเลือกกิ่งที่มียอดที่เจริญจวนจะผลิใบอ่อนออกมาใหม่และกิ่งต่อต้องไม่อ่อนหรือแก่เกินไป  กิ่งต่อต้องเป็นพันธุ์ดี เช่นเดียวกับกิ่งพันธุ์ของการทาบกิ่ง  และมีขนาดเล็กกว่าต้นตอเล็กน้อย
                        วิธีการต่อกิ่ง  โดยตัดยอดต้นตอออกใช้มีดผ่าต้นตอให้เป็นร่องลึก  1 -2 นิ้ว กิ่งต่อที่เตรียมไว้นำมาปาดให้เป็นรูปลิ่มเสียบกิ่งต่อเข้าไปในแผลที่ผ่าไว้ให้สนิทกันพอดี เพื่อกันไม่ให้เคลื่อนหรือโยกไปมาได้  เพราะถ้าหากเคลื่อนได้จะทำให้ไม่ติดหรือไม่ประสานกันต่อจากนั้นใช้พลาสติกพันตามรอยแผลและพันให้เลยขึ้นไปเหนือกิ่งต่อเล็กน้อย  ต้องพันให้แน่นและแข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปในแผลที่ต่อกิ่ง
      รูปที่ 2  แสดงการต่อกิ่ง
      6. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  (tissue  culture)  การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นการขยายพันธุ์ที่มีประโยชน์มาก คือ
        1.สามารถขยายพันธุ์พืชได้ในปริมาณมากและรวดเร็วโดยใช้พืชเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย
        2.พืชใหม่ที่ได้มีลักษณะตรงตามพันธุ์เดิมไม่กลายพันธุ์
        3.ใช้ได้ดีในพืชเศรษฐกิจหรือพืชปกติที่ขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ยาก
              เทคนิควิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีข้อจำกัด  คือ  ต้องใช้บุคคลที่มีความรู้ความชำนาญมากเป็นพิเศษ  ต้องใช้เครื่องมือ  สารเคมี  อุปกรณ์ต่างๆ  และวิธีการที่ยุ่งยากละเอียดอ่อนจึงยังไม่แพร่หลายมากนัก 
      วิธีการในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
              การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้องทำในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อหรือปราศจากจุลินทรีย์ทุกขั้นตอน  อุณหภูมิที่พอเหมาะคือ  23  28 องศาเซลเซียส  และแสงสว่างที่ให้กับเนื้อเยื่อประมาณ  1,000  2,000 ลักซ์  โดยเลี้ยงในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิได้  ขั้นตอนในการเลี้ยงเนื้อเยื่อมีดังนี้
      1.นำชิ้นส่วนของพืชมาตัดแบ่งแล้วนำไปฟอกฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ผิวของพืชเสียก่อน
      2.นำมาเลี้ยงในขวดอาหารตามสูตรที่เหมาะสมโดยอาหารจะประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ  ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืช มีสารพวกน้ำตาล  วิตามิน  สารควบคุมการเจริญเติบโตต่างๆ เช่น ออกซิน(auxin) ไซโทไคนิน(cytokinin) เพื่อให้เนื้อเยื่อแบ่งเซลล์และเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปทำหน้าที่เฉพาะอย่างได้ดี
      3.เมื่อเจริญเป็นต้น  ราก  หรือเจริญเป็นแคลลัส (callus) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเซลล์พวกพาเรงคิมาและมีขนาดใหญ่แล้วตัดแบ่งแคลลัสออกเป็นชิ้นเพื่อเพิ่มจำนวนหรือถ้าเจริญเป็นต้นแล้วก็แยกต้นไปเลี้ยงในอาหารใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนเรื่อยๆ
      4.เมื่อเป็นต้นแล้วก็ชักนำให้งอกราก  เมื่อเจริญเป็นต้นที่แข็งแรงดีแล้วก็แยกออกจากขวดเลี้ยงลงปลูกในดินต่อไป
      เมล็ดเทียม  (artificial  seed) คือเมล็ดที่พัฒนามาจากหลักการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  การผลิตเมล็ดเทียมทำได้โดยการนำเนื้อเยื่อของพืชที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาทำเป็นเอ็มบริโอเทียม เรียกว่า
      โซมาติกเอ็มบริโอ (somatic  embryo) แทนไซโกติกเอ็มบริโอ (zygotic  embryo)  ซึ่งเกิดจากการปฏิสนธิ เอ็มบริโอเทียมหรือโซมาติกเอ็มบริโอจะนำมาห่อหุ้มด้วยสารอาหารเพื่อทำหน้าที่แทน

      เอนโดสเปิร์ม  ด้านนอกสุดห่อหุ้มด้วยสารที่แข็งแรงซึ่งทำหน้าที่เป็นเปลือกหุ้มเมล็ด  ช่วยคุ้มครองส่วนประกอบต่างๆ  ที่อยู่ข้างใน วิธีนี้ใช้ขยายพันธุ์พืชบางชนิดได้ เช่น  ข้าว  หน่อไม้ฝรั่ง ยาสูบ แครอท
      ภาพที่ 3      ขั้นตอนการเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช

ภาษาไทย


คำนาม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีไบยังการนำทางไปยังการค้นหาคำนาม คือคำที่ทำหน้าที่เป็นชื่อของสิ่งของใด ๆ หรือชุดของสิ่งของใด ๆ เช่น สิ่งมีชีวิต วัตถุ สถานที่ การกระทำ คุณสมบัติ สถานะ อาการ หรือแนวคิด ในทางภาษาศาสตร์ คำนามเป็นหนึ่งในชนิดของคำแบบเปิดที่สมาชิกสามารถเป็นคำหลักในประธานองอนุประโยค กรรมของกริยา หรือกรรมของบุพบทหมวดหมู่คำศัพท์  ถูกนิยามในทางที่ว่าสมาชิกจะอยู่รวมกับนิพจน์ชนิดอื่น ๆ กฎทางวากยสัมพันธ์ของคำนามจะแตกต่างกันระหว่างภาษาต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ คำนามคือคำที่สามารถมาพร้อมกับคำนำหน้านาม และคำคุณศัพท์กำหนดลักษณะ  และสามารถทำหน้าที่เป็นคำหลัก  ของนามวลี คำกริยา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหาคำกริยา คือคำที่ใช้บ่งบอกถึงการกระทำ การปรากฏ หรือสถานะของสิ่งที่กล่าวถึง คำกริยาอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับภาษา อันมีองค์ประกอบจากกาล การณ์ลักษณะ มาลา วาจก หรือรวมทั้งบุรุษ เพศ และพจน์ของสิ่งที่กล่าวถึงด้วย
คำสรรพนาม
 สารานุกรมเสรี
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหาในทางภาษาศาสตร์และไวยากรณ์ คำสรรพนามเป็นคำซึ่งใช้แทนคำนามหรือนามวลี
คำนามถือว่าเป็นคำชนิดหนึ่ง แต่นักทฤษฎีสมัยใหม่บางส่วนจะไม่จำกัดอยู่ในชนิดเดียว เพราะคำสรรพนามมีหลายหน้าที่ เช่น บุรุษสรรพนาม (personal pronoun) ประพันธสรรพนาม (relative pronoun) ปฤจฉาสรรพนาม (interrogative pronoun) นิยมสรรพนาม (demonstrative pronoun) สามีสรรพนาม (possessive pronoun) และอนิยมสรรพนาม (indefinite pronoun)
การใช้คำสรรพนามมักเกี่ยวข้องกับการเน้นซ้ำคำ ซึ่งความหมายของคำสรรพนามขึ้นอยู่กับส่วนอ้างอิงอื่น ซึ่งใช้โดยเฉพาะกับสรรพนาม (บุรุษที่ 3)

คำวิเศษณ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหา
คำวิเศษณ์ คือคำที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม คำสรรพนา คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ด้วยกัน เพื่อให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น
ในภาษาไทย คำวิเศษณ์สามารถใช้ขยายได้ทั้งนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์ ในขณะที่ในภาษาอังกฤษจะแยกคำวิเศษณ์ออกเป็นสองประเภทคือ คำคุณศัพท์ (adjective) ใช้ขยายได้เฉพาะคำนามและสรรพนามเท่านั้น และคำกริยาวิเศษณ์ (adverb) ใช้ขยายกริยา คุณศัพท์ และกริยาวิเศษณ์ด้วยกัน


10201 ธนภรณ์ อึงฤทธิเดช tnanaphos-blog.blogspot.com 10202 ศุภกร เหลืองอ่อน Suphakon3058.blogspot.com 10203 เปมิกา ถิ่นวัฒนากลู pemika2...